Posted on

คลีนิกแก้หนี้ออมสิน  สินเชื่อเพื่อลดภาระดอกเบี้ย

คลีนิกแก้หนี้ 2565 เป็นโครงการที่ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย SAM และสถาบันการเงินต่างๆได้พยายามออกมาตรการช่วยเหรอประชาชนที่เป็นหนี้ ทั้งหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อต่างๆทั้งหนี้เสียที่ไม่ได้มีการชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไปและ หนี้ที่ยังพอจะมีการชำระอยู่บ้าง แต่ก็อาจจะมีล่าช้า หรือทำให้มีค่าติดตามทวงถาม แบบนี้ก็สามารถจะสมัครคลีนิกแก้หนี้ออมสินได้

คลีนิกแก้หนี้ออมสินมีสินเชื่ออะไรบ้าง

สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน เป็นสินเชื่อที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ และยังใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และยังสามารถจะนำไปชำระหนี้ต่างๆได้เหมือนการเข้าร่วมคลีนิกแก้หนี้ออมสิน โดยธนาคารออมสินจะให้กู้ได้ตามความจำเป็น และความสามารถในการชำระหนี้ สูงสุดได้ไม่เกิน 200,000 บาท โดยการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ และจำเป็นจะต้องใช้หลักประกันเงินกู้ด้วย

  1. ต้องใช้บุคคลค้ำประกันที่มีรายได้ประจำ 9,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หากผู้ค้ำประกันมีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป ใช้แค่ 1 คนได้
  2. สามารถจะใช้หลักประกันที่เป็น ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ที่ดินเปล่า หรือจะเป็นห้องชุด แต่จะต้องอยู่ในแหล่งชุมชน ที่มีบริการสาธารณูปโภคต่างๆอย่างครบครัน
  3. หลักประกันต่างๆที่เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น รถหรือยานพาหนะที่ใช้งานหลักในกิจการ ที่อนุมัติวงเงิน 70% หรือจะเป็นสัญญาเช่าแผงร้านค้า หรือร้านค้าที่ใช้เช่าเพื่อเปิดกิจการ ซึ่งจะอนุมัติวงเงินได้ถึง 95%

การปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้รายย่อยโดยวิธีการรวมหนี้ กรณีนี้จะเน้นให้ความช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารออมสินโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการรวมหนี้ให้เหลือเพียงก้อนเดียว โดยจะต้องเป็นหนี้ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน สำหรับสินเชื่อบ้าน ในส่วนของบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดอาจจะเป็นหนี้เสียแล้ว หรือยังไม่เสียก็สามารถจะยื่นเรื่องเพื่อเข้าโครงการคลีนิกแก้หนี้ออมสิน โดยข้อดีของการปรับโครงสร้างนี้

  1. จะช่วยไม่ให้เสียประวัติข้อมูลเครดิต
  2. ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการสินเชื่อใดๆ
  3. ช่วยลดภาระในเรื่องของการผ่อนชำระและดอกเบี้ย ในแต่ละงวดได้ ไม่หนักจนเกินไป
  4. ในการสมัครจะต้องมีการลงทะเบียนที่หน้าเว็บไซต์ของธนาคาร ในการเข้าร่วมโครงการ หรือคลีนิกแก้หนี้ออมสิน ได้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2565 – 31 ธันวาคม 2565

ถ้าจะถามว่าคลีนิกแก้หนี้ดีไหม คงจะตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลย เพราะมันจะดีกับทั้งลูกหนี้ และเจ้าหนี้ ไม่ทำให้กลายเป็นหนี้เสีย และลูกหนี้ก็ไม่ต้องติดแบล็คลิสต์ หรือเสียประวัติเครดิตบูโรซึ่งเมื่อชำระหนี้หมดแล้ว ก็ยังสามารถจะขอกู้เงินเพิ่มได้อีก ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณา เพราะลูกค้าได้มีการแก้แบล็คลิสต์หรือมีการปรับปรุงคะแนนเครดิตแล้วนั่นเอง